Welcome to The Keyhole Bangkok store Call +669 5867 7134
Worldwide Shipping
Blogs
Home / Blogs
ทำความรู้จักกับศิลปินผู้อยู่เบื้องหลังผลงานทุกชิ้นของ The Keyhole Bangkok
20 February 2024 | Posted By : Admin

พาไปทำความรู้จักกับศิลปินผู้อยู่เบื้องหลังผลงานทุกชิ้นของ The Keyhole Bangkok ถึงที่มาที่ไปและแรงบันดาลใจเบื้องหลังที่หลอมรวมเป็นตัวตน และกลายมาเป็นผลงานศิลปะ เส้นทางชีวิตของศิลปินผู้คร่ำหวอดในวงการแฟชั่นสู่แบรนด์เครื่องใช้บนโต๊ะอาหารที่มีความร่วมสมัยเป็นสากล

ชีวิตในวัยเด็กมีอุปนิสัยที่ซนกว่าเพื่อน คุณครูจึงชักชวนมาจับดินสอวาดรูประบายสี ให้จดจ่อและมีสมาธิมากขึ้น กล่าวได้ว่าศิลปะถูกผนวกเข้ากับตัวตนตั้งแต่วัยเด็ก

เมื่อชีวิตวัยเรียนผันผ่านไปสู่การเข้ามหาวิทยาลัย ที่ถือเป็นตัวกำหนดเส้นทางชีวิตในอนาคต ได้ค้นพบตัวตนในความชอบงานศิลปะ จึงได้ตัดสินใจเรียนต่อที่คณะศิลปกรรมศาสตร์ จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย ที่นี่เองที่เปิดโลกศิลปะอย่างแท้จริง ได้เรียนรู้อย่างลึกซึ้งในทุกมิติ ทดลองความเป็นไปได้ของศิลปะหลากหลายแขนง และได้กลายมาเป็นอิทธิพลหลักในการออกแบบผลงานสร้างสรรค์ต่างๆ



“ตอนเรียนปี 1 ที่คณะจะได้เรียนพื้นฐานศิลปะทุกแขนงตั้งแต่ปีแรก ก่อนที่จะเลือกสาขาที่แต่ละคนชอบและถนัด ตอนนั้นเหมือนเป็นการเปิดโลก เราตื่นเต้นและสนุกไปกับทุกอย่าง และพอได้เรียนหลักการ ความรู้สึกเหมือนเราได้เริ่มต้นใหม่”  ช่วงเวลานั้นเองที่ทำให้ค้นพบว่าสิ่งที่ชอบคือการออกแบบแฟชั่นและเซรามิค

“แฟชั่นกับเซรามิคคือเราชอบเป็นพิเศษ เพราะเป็นงานที่ทำจากมือทั้งสองอย่าง เซรามิคต้องปั้นดินแล้วเอาไปเผาเอาชิ้นงานไปเคลือบสี แฟชั่นก็ต้องจับผ้าเย็บผ้าขึ้นมาเป็นชุด เรามีความสุขทุกครั้งที่ได้จับได้ลงมือทำ พอขึ้นปี 2 ที่ต้องเลือกเอก ตอนนั้นตัดสินใจมุ่งไปที่แฟชั่น บริบทตอนนั้นเลยได้เข้าไปทำงานในงานสายแฟชั่น”



จุดเริ่มต้นในวงการแฟชั่น เส้นทางการทำงานที่หลอมรวมตัวตนเข้ากับการสร้างสรรค์ผลงานจนถึงปัจจุบัน 

“โลกการทำงานก็เป็นเหมือนอีกโลก เหมือนเป็นอีกมหาลัยนึง ตอนนั้นสนุกกับการทำงานแฟชั่น มีทีมที่หลากหลายมีวิธีคิดที่แตกต่างกัน กว่าสิบปีที่ผ่านมาก็แฮปปี้ทุกโมเมนต์ เราเริ่มทำงานแฟชั่น เป็นคนออกแบบลวดลายผ้า ได้ใช้เทคนิคหลากหลาย เช่น งานวาดเส้น เพ้นท์สีหลายๆ แบบ กราฟิกล้วนเลย หรือบางงานก็เป็น mixed-media collage ตามแต่คอนเซปของคอลเลกชั่นนั้นๆ ได้ทดลองหลายอย่าง”



‘The beginning of The Keyhole’

หลังจากที่โลดเล่นในวงการแฟชั่นกว่าทศวรรษ ต่อยอดสู่งานออกแบบข้าวของเครื่องใช้ ผ่านการชักชวนของคุณภู Managing Director ที่ครั้งนึงเคยได้ร่วมงานกันเพื่อออกแบบผลิตภัณฑ์ใหม่ให้กับลูกค้า จากประสบการณ์การผลิตสินค้าพรีเมี่ยมมาอย่างยาวนาน จึงเล็งเห็นถึงโอกาสในการต่อยอดธุรกิจเครื่องใช้บนโต๊ะอาหาร 

ด้วยแนวความคิดที่ว่า การรับประทานอาหารทุกวันด้วยภาชนะเดิมๆ มันจำเจและขาดชีวิตชีวา จึงจุดประกายให้เกิดการพัฒนาผลงานในรูปแบบเซรามิค ที่นิยามความสุนทรีย์ในชีวิตประจำวันและการอยู่อาศัย “เกิดจากตัวเราเอง ในช่วงที่ต้องอยู่บ้านนานๆ เรานั่งกินข้าวที่บ้านในจานเดิมๆ แล้วรู้สึกเบื่อ อยากมีจานที่เข้ากับอาหารแต่ละมื้อ ได้เลือกว่าแต่ละใบเราจะเอาไปใช้ยังไง และก็เป็นทางเลือกที่ลูกค้าก็สามารถเลือกตาม mood ที่เปลี่ยนไปในแต่ละวัน“

“อย่างเราก็อยู่คนเดียวเวลากินข้าวก็ใช้แค่ไม่กี่ใบ เลยอยากให้คนที่อาศัยอยู่คนเดียว ได้มีจานสวยๆ จะเลือกชิ้นพิเศษที่ชอบชิ้นเดียว หรือจะซื้อเป็นเซตก็พิเศษ” จึงกลายมาเป็นความตั้งใจหลักของแบรนด์ที่จะสร้างผลิตภัณฑ์ที่มีคุณภาพดี ลายละเอียดสูง ซึ่งประสบการณ์ที่สั่งสมมาอย่างยาวนานในการออกแบบสิ่งทอและงานกราฟิกของศิลปิน ทำให้ลูกค้าได้เห็นผลงานที่สดใหม่ เป็นทางเลือกข้าวของเครื่องใช้ที่สนุกสนานแบบแฟชั่น ภายในมีเรื่องราวซ่อนอยู่ในทุกชิ้น นำเสนอมุมมองใหม่ๆ ไม่จำเจและไม่เหมือนใคร เรียกได้ว่าเป็นงานศิลปะแบบสะสมเข้ากรุได้เลย


แรงบันดาลใจและการร้อยเรียงเรื่องราว ที่ส่งต่อจินตนาการไปถึงผู้ใช้งาน

พูดถึงงานศิลปะกว่าจะมาเป็นชิ้นงานสมบูรณ์ที่เราได้ใช้กันนั้น รายละเอียดขั้นตอนการคิดและออกแบบนั้นซับซ้อนยิ่งกว่าที่ได้เห็นนัก การตีความและเทคนิคที่สั่งสมมาใช้ในงานออกแบบลวดลาย ไปจนถึงการประยุกต์เทคนิคการผลิตเป็นอย่างไร


“ขั้นตอนการออกแบบ ค่อนข้างคล้ายกันกับตอนที่เราออกแบบลายผ้า Process การทำผ้า จะเริ่มจาก inspire จากหนังสือ หรือการท่องเที่ยวมา มี inspire แล้ว research เรื่องนั้นๆ ต่อ คอนเซปของ The Keyhole คือการผสมผสานเรื่องราวหรือแนวคิด จากงานศิลปะ วัฒนธรรม และธรรมชาติ ผนวกเข้ากับไอเดียที่คล้ายกันหรือล้อเลียนกัน พอได้เรื่องราวแล้วมองเห็นภาพรวมในหัว ก็เริ่ม sketch แบบ ใช้วิธี collage ในคอมก่อน หลังจากลงตัวแล้ว เราค่อยวาดและลงสีบนกระดาษ วาดเป็นชิ้นส่วนเล็กๆ เหมือนกับอะไหล่ และค่อยจับมาวาง compose มองดีเทลเล็กๆ ก่อนขยายเป็นภาพใหญ่ ทำกลับไปกลับกลับมาจนลงตัวที่สุด” จานทุกใบจึงเปรียบดั่งการพัฒนางานศิลป์บนผืนผ้าใบ สู่เครื่องครัวที่ใช้งานได้จริงในชีวิตประจำวัน




โลกศิลปะ = ขุมทรัพย์แห่งแรงบันดาลใจ

ในหลายคอลเลคชั่นเป็นความเชื่อมโยงระหว่างศิลปะหลายแขนง หมุดทางประวัติศาสตร์ และวัฒนธรรม ล้วนมีที่มาจากความสนใจตั้งแต่วัยเด็ก

“ไอเดียมาจากหลายทาง ด้วยความที่เราเป็นคนชอบอ่านหนังสือมาตั้งแต่เด็ก อ่านหมดตั้งแต่นิทาน ,วรรณกรรมเยาวชน , สารานุกรม พอโตมาได้มีโอกาสอ่านหนังสือต่างประเทศ โดยเฉพาะหนังสือภาพสวยๆ อีกอย่างคือเราเป็นคนชอบท่องเที่ยว เลยได้เห็นวัฒนธรรมหลากหลาย” 

ถามถึงการเดินทางที่ประทับใจ “ทริปอินเดีย ภาพที่คิดกับภาพตอนที่ไปเป็นคนละอย่างเลย ได้เจองานคราฟท์พิมพ์ woodblock printing ก็เก็บเป็นไอเดียเอามาทำลายผ้าได้ หรือมาต่อยอดทำข้าวของเครื่องใช้ การไปแต่ละทริปเหมือนเป็นการเก็บข้อมูลเข้าคลัง” 

แนวทางที่ชัดเจนในการออกแบบผลิตภัณฑ์ ชั้นเชิงการสร้างสรรค์ผลงานและถ่ายทอดเรื่องราว ที่ต้องมีมากกว่า 2 เรื่องราวซ่อนอยู่ในผลงานทุกชิ้นมีที่มาที่ไปอย่างไร


“บนโลกนี้มีหลายวัฒนธรรม ไม่มีอะไรใหม่ มีแต่ของที่เคยทำกันมาแล้ว ดังนั้นในความคิดของเรา การจะสร้างผลงานใหม่ๆ จึงต้องผสมผสานหลายๆ เรื่องราวเพื่อให้เกิดรสชาติใหม่ขึ้นมา” เรียกได้ว่ากลายมาเป็นแนวคิดหลักที่ใช้ในการสร้างคอลเลคชั่นใหม่ทุกครั้ง จากตำนานหรือประวัติศาสตร์ที่คนทั่วไปอาจจะเคยรู้จัก นำมา Twist เรื่องราวใหม่ ตีความผ่านมุมมองของศิลปินและถ่ายทอดออกมาเป็นภาพใหม่ กลายมาเป็น Design language เฉพาะตัวของแบรนด์ The Keyhole Bangkok




ผลงานการออกแบบซึ่งเปรียบได้กับงานศิลปะเพื่อสะสม มีส่วนประกอบของลวดลายเล็กๆ ลายเส้นที่มีความละเอียด และความพิถีพิถัน อันเป็นเอกลักษณ์ของ The Keyhole Bangkok “เรามองว่าเอกลักษณ์เป็นเรื่องของธรรมชาติ scenery หรือความ vintage หลายมิติซ้อนทับกันเป็นเลเยอร์ อย่างตอนที่ออกแบบแฟชั่นก็จะใส่ความเป็นตัวตนของตัวเองลงไปด้วย การที่เลือกใช้สีน้ำที่เห็นก็เป็นแค่ส่วนนึง อยู่ที่คอนเซปของแต่ละคอลเลคชั่นมากกว่า” หากมองดูดีเทลเล็กๆ จะเห็นที่รายละเอียดที่ซ่อนอยู่ใน background หรือ elements ที่ประกอบออกมาเป็นลวดลาย ล้วนแต่เป็นความตั้งใจของศิลปินที่แฝงไว้ อีกทั้งชิ้นงานทุกชิ้นจะมีชื่อเรียกเป็นของตัวเองไม่ซ้ำกัน เป็นที่มาของเรื่องราวแรงบันดาลใจของคอลเลคชั่นนั้นๆ ที่หลายคนอาจไม่ทันสังเกต

“ยกตัวอย่างคอลเลคชั่น Mount Olympus ซุ้มต่างๆ จะซ่อนสัญญะหลายๆ อย่างเข้าไป elements ทุกอย่างมีความหมายทั้งหมด เทพกรีก 4 องค์ที่เป็นคาแรคเตอร์หลัก ก็มีความหมายที่เกี่ยวข้องกับบ้าน ครอบครัว และความสุข แล้วเทพแต่ละองค์ก็มีความพิเศษ เช่น DIONYSUS เป็นที่รู้จักกันดีว่าเป็นเทพเจ้าแห่งการเก็บเกี่ยวองุ่นและไวน์ ในจานลายนั้นก็จะมีพวงองุ่นซ่อนอยู่”

ว่ากันว่าความสวยงามของศิลปะขึ้นอยู่กับสายตาของผู้มอง เราจึงอยากรู้ว่าในมุมมองของผู้สร้างผลงานศิลปะ มีคอลเลคชั่นไหนที่ชอบเป็นพิเศษหรือเปล่า 

“จริงๆ ชอบทุกอัน เพราะแต่ละคอลเลคชั่นเป็นความชอบ ณ ช่วงเวลานึง เป็นสิ่งที่สนใจ​ ณ ขณะนั้น” หากพูดถึงคอลเลคชั่นที่ทำให้รู้สึกนึกถึงตัวเองที่สุด “คงเป็นคอลเลคชั่น Safari ด้วยงานที่เป็นสไตล์แบบ toile de jouy สีขาวฟ้า ลายแบบนี้เป็นลายเสื้อผ้าที่เราทำมาก่อน ทำกี่ครั้งก็มีความสุข สนุก และออกมาสวยแบบที่คิดไว้จริงๆ” ความโรแมนติกที่อยู่ในงานออกแบบเข้ากับความเรียบหรูและความร่วมสมัย เป็นเสน่ห์ของงานที่หลายคนต้องอยากมีไว้ครอบครอง หรือมอบเป็นของขวัญให้ใครคนพิเศษแน่นอน

แต่ละชิ้นมีดีเทลละเอียดมาก กว่าจะมาเป็น 1 คอลเลคชั่น ใช้เวลาทำนานแค่ไหน

“ขึ้นอยู่กับดีเทล และความละเอียดของงาน ยกตัวอย่างเช่น Maritime Silk Road มี elements ไม่เยอะ จะมีสัตว์น้ำที่เป็นคาแรคเตอร์หลักของแต่ละจาน ต่างกับคอลเลคชั่น Safari ที่จะมีลายละเอียดเยอะกว่า ทำให้ใช้เวลามากกว่า” ความละเอียดขั้นสุดนี้หากมองลึกลงไปเหมือนกระดาษที่เป็นเลเยอร์ซ้อนๆ กันอยู่ จะเห็นว่าพื้นหลังก็มีเรื่องราวที่ไม่เหมือนกันในแต่ละใบ วิวทิวทัศน์จะถูกวาดให้เป็นเรื่องราวเดียวกันกับคอนเซปของคาแรคเตอร์หลัก เหล่านี้คือกุญแจสำคัญของเอกลักษณ์ลายเส้นและดีไซน์ฉบับ The Keyhole ที่มีความพิเศษทั้งภาพรวมและรายละเอียดเล็กๆ ที่ถูกซ่อนไว้

การออกแบบผลงาน The Keyhole เปลี่ยนวิธีมองงานดีไซน์ไปอย่างไรบ้าง

“เรากล้าที่จะออกจากกรอบมากขึ้น กรอบที่ว่าคือตัวเราเอง เรากล้าทำ เปิดเผย ยอมรับ ไม่มีกรอบเหมือนแต่ก่อน”

แอบส่องห้องทำงาน และของที่ขาดไม่ได้



เทียนหอม - “สิ่งที่มีทุกมุมในบ้าน กลิ่นแตกต่างกันไป เพราะแต่ละกลิ่นก็สามารถสร้างแรงบัลดาลใจได้ต่างกัน”



หนังสือ - “คลังแสงของข้อมูลและแรงบันดาลใจ ส่วนใหญ่จะเป็นหนังสือภาพสวยๆ”


ดินสอ - “ถ้าให้เลือกอุปกรณ์วาดรูปแค่อย่างเดียว จะเลือกดินสอ แล้วต้องเป็นดินสอไม้เท่านั้น เป็นอย่างเดียวที่ขาดไม่ได้เลย”




Story of The Keyhole

‘The House of Extraordinary Pieces’